ได้มีโอกาศกลับไปอ่านหนังสือที่ชอบมากเล่มนึงคือ The World is FLAT หรือชื่อไทยที่ว่า “ใครว่าโลกกลม” หนังสือที่โด่งดังมากเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว พูดถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตและโลกาภิวัตน์ ที่มีผลทำให้การทำงานต่างๆนั้นง่ายมากขึ้น และทำให้โลกนั้นดูแบน แทนที่จะกลมเหมือนที่เราเข้าใจกัน
ในเล่มนี้จะพูดถึงคำว่า OutSource บ่อยมาก ซึ่งหมายถึงการจ้างงานบางส่วนที่องค์กรไม่ถนัดไปให้บุคคลภายนอกทำให้แทน ซึ่งผู้ที่มาทำ Outsourcing งานนั้นๆมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆเป็นพิเศษ ซึ่งมองในเชิงธุรกิจนั้นเป็นเรื่องที่ดี ที่จะโยนเอางานที่ตัวเองไม่ถนัด แต่ไปจ้างให้ผู้ที่เชี่ยวชาญกว่ามาทำให้แทน
ในหนังสือยกตัวอย่างมาหลายๆแบบ ที่กล่าวถึงการเอาท์ซอร์สงานบริการบางอย่างจากสหรัฐอเมริกา ไปยังที่ต่างๆของโลก ที่ทำงานได้ดีกว่าแต่เสียค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก เช่นการ Outsource งานด้านบริการโอเปอร์เรเตอร์ Call Center ไปยังเมืองบังกาลอร์ อินเดีย ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่าและพนักงานยังสามารถพูดอังกฤษได้ดีเกือบเทียบเท่าคนสหรัฐเองเสียด้วย
หรืออีกตัวอย่างคือกรณีบริษัทเจ็ทบลู สายการบินต้นทุนต่ำ ได้เอาท์ซอร์ซงานด้านการจองตั๋วเครื่องบิน ไปให้กลุ่มแม่บ้านที่ ซอลท์ เลค ซีตี้ ทำแทนทั้งหมด ซึ่งเรียกอีกอย่างนึงได้ว่า Homesourcing กลุ่มแม่บ้านสามารถนั่งทำงานที่บ้านได้ ขณะเดียวกันก็สามารถดูแลบุตรหลาน ทำกับข้าว ออกกำลังกาย หรือเขียนนวนิยายไปด้วย และผลผลิตก็เพิ่มมากขึ้นกว่า 30% อีกด้วย เพราะว่าคนทำงาน ได้ทำงานอย่างมีความสุข ในสถานที่ๆตัวเองชอบ
แนวคิดการทำงานอยู่ที่บ้าน มีคนพูดกันมากขึ้นอีกครั้งเมือประมาณช่วงปลายๆปี 2008 ตอนเริ่มมีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผมจำได้ว่าดูข่าวทีวี บอกว่าบริษัทในอเมริกาหลายๆแห่ง เริ่มให้พนักงานบางตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องมาที่ออฟฟิศทุกวัน เอางานกลับไปทำที่บ้านได้แล้วส่งงานผ่านอินเตอร์เน็ต มีการประชุมงานกันสัปดาห์ละครั้ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายต่างๆในออฟฟิศลง ผมจดจำได้ว่ารูปแบบการทำงานแบบนั้นดูดีเอามากๆ ผมอยากทำงานแบบนั้นบ้างจัง
และช่วงค่ำของเมื่อวานนี้ (25/7/53) ผมเพิ่งได้ดูรายการ”มองมุมใหม่” จากช่องทีวีไทย ช่วงนึงมีการพูดคุยกับบรรณาธิการสำนักพิมพ์ระหว่างบรรทัด ชื่อคุณดวงฤทัย เธอบอกว่าเธอเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ ที่มีพนักงานไม่มาก เวลาทำหนังสือออกมาซักเล่มนึง เธอเล่าว่า คนเขียนอยู่ญี่ปุ่น คนออกแบบArtwork อยู่อเมริกา ใช้อินเตอร์เน็ตในการส่งงานกัน พูดคุยกันผ่าน Social media ทั้ง MSN, Facebook , Twitter แล้วมาปิดเล่มที่กรุงเทพ โดยมีเธอดูแลกระบวนการทำงานต่างๆทั้งหมด ตรงนี้ถูกใจผมมาก มันทำให้แนวคิด “Working from Anywhere” ดูเป็นเรื่องที่ง่ายๆและเกิดขึ้นจริงโดยไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมากนัก
ผมชอบแนวคิดนี้จริงๆ “Working from Anywhere” ทำงานจากที่ไหนก็ได้ เคยคิดว่าสักวันนึงเราอยากทำงานที่ชอบ โดยนั่งทำงานอยู่ที่บ้านเราเองได้ และยังสามารถติดต่อสื่อสาร ส่งงานต่างๆได้ผ่านอินเตอร์เน็ต และวันนี้มันก็เกิดขึ้นจริงกับผมแล้ว งานฟรีแลนซ์ด้าน E-Marketing ของผม ทำให้ผมรับงานลูกค้าได้หลายๆร้านพร้อมๆกัน มีทั้งในกรุงเทพ และลูกค้าจากชะอำ บางแสน ทั้งหมดนี้ผมทำงานอยู่ที่บ้าน (และที่อื่นๆ เช่นตามร้านกาแฟ) ส่งงานผ่านอินเตอร์เน็ต พูดคุยกับลูกค้าผ่าน Social media (มีไปหาลูกค้าที่บริษัทบ้างเป็นครั้งคราว)
…….ผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าโลกนี้แบนแล้วจริงๆ
ใส่ความเห็น